เปิดเผยทุกข้อเท็จจริง ที่อาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับโรคปวดหลังส่วนล่าง

เปิดเผยทุกข้อเท็จจริง-ที่อาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับโรคปวดหลังส่วนล่าง---feat

80% ของคนวัยผู้ใหญ่ต้องพบกับปัญหาการปวดหลังส่วนล่างที่มีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการทำงานที่ต้องอยู่กับที่เป็นเวลานาน ซึ่งระหว่างเพศชายและเพศหญิงมีอัตราส่วนของการได้รับผลกระทบเท่าๆกัน อาการปวดอาจเกิดขึ้นหลังจากได้รับอุบัติเหตุ หรือการยกของหนัก และมันสามารถเพิ่มการปวดมากขึ้นตามอายุของกระดูกสันหลัง รวมถึงการที่มีความรู้สึกหดหู่สามารถทำให้อาการปวดหลังเพิ่มความรุนแรงขึ้นมาได้ และกิจวัตรประจำวันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ส่งผลต่อระดับของการปวดเอวส่วนล่าง โดยเฉพาะกิจวัตรในวันทำงานที่มีการเคลื่อนไหวที่น้อยเกินไป ควรมีการคั่นด้วยการออกกำลังกายในวันหยุดสุดสัปดาห์

การปวดหลังส่วนใหญ่จะเป็นการเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน หรือเกิดอาการในระยะเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่วัน หรือไม่กี่สัปดาห์ และอาการจะสามารถหายได้เอง โรคปวดหลังส่วนล่างแบบฉับพลันมักจะเกิดขึ้นตามกลไกธรรมชาติจากการที่ส่วนต่างๆของหลังมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม (กระดูกสันหลัง กล้ามเนื้อ หมอนรองกระดูสันหลัง และเส้นประสาท) โดยถ้าหากมีอาการปวดหลังตั้งแต่ 4 – 12 สัปดาห์ จะเรียกว่า โรคปวดหลังส่วนล่างแบบกึ่งเฉียบพลัน และหากหลังจาก 12 สัปดาห์ขึ้นไปยังมีอาการปวดอยู่ จะเป็นโรคปวดหลังส่วนล่างแบบเรื้อรัง โดยอาจเกิดจากการบาดเจ็บหรือจากการปวดหลังส่วนล่างแบบฉับพลัน ประมาณร้อยละ 20 ของผู้ที่เป็นโรคปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง มีสาเหตุมาจากการมีอาการปวดหลังส่วนล่างแบบฉับพลันบ่อยๆในหนึ่งปี ในบางกรณีการรักษาทั่วไปก็ช่วยบรรเทาการปวดหลังส่วนล่างเรื้องรังได้ แต่บางกรณีต้องรักษาด้วยการพบแพทย์เฉพาะทาง หรือการผ่าตัด

โครงสร้างของหลัง ปวดหลัง

โครงสร้างของหลัง

อาการปวดหลังพบมากที่สุดบริเวณหลังส่วนล่างที่ประกอบด้วยกระดูกสันหลัง 5 ชิ้นในช่วงเอว (ตั้งแต่ L1 – L5) ซึ่งเป็นส่วนที่ต้องรองรับน้ำหนักของร่างกายไว้มากที่สุด ที่ระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละข้อจะมีหมอนรองกระดูกที่ทำหน้าที่ในการรองรับแรงกระแทกจากการเคลื่อนไหวของร่างกาย คล้ายการทำงานของโช้คอัพรถ และมีเอ็นที่ทำหน้าที่ยืดข้อกระดูกสันหลังไว้ให้ติดกัน รวมถึงเอ็นที่ยืดแนวกระดูกสันหลังเข้ากับกล้ามเนื้อ ในช่องของกระดูกสันหลังยังมีเส้นประสาทไขสันหลังฝังตัวอยู่ทั้งหมด 31 คู่ ทำหน้าที่ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย และส่งสัญญาณจากส่วนต่างๆของร่างกายไปยังสมอง

สาเหตุของโรคปวดหลังส่วนล่าง

โดยมากแล้วอาการปวดหลังส่วนล่างจะเกิดจากกลไกทางธรรมชาติ ในหลายๆกรณีอาการปวดหลังส่วนล่างจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคกระดูกสันหลังเสื่อมที่เกิดจากการสึกหรอของข้อต่อ หมอนรองกระดูก และกระดูกสันหลังไปตามธรรมชาติของอายุที่มากขึ้น สาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคปวดหลัง เช่น

  1. บิด หรือเคล็ด เป็นสาเหตุที่พบได้สูงสุด เกิดจากการยืดหรือเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วของเอ็นและกล้ามเนื้อ อาจมาจากการบิด ยกของหนัก หรือการยืดเส้นที่ผิดวิธีทำให้กล้ามเนื้อบริเวณหลังเป็นตะคริว
  2. หมอนรองกระดูกเสื่อม (Intervertebral disc degeneration) อีกหนึ่งสาเหตุที่พบเป็นจำนวนมาก ซึ่งหมอนรองกระดูกจะเสื่อมลงไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลให้เกิดอาการโก่ง คด งอ หรือบิดของหลังส่วนล่างได้ และทำให้ความสามารถในการรองรับแรงกระแทกลดลง
  3. หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท (Herniated discs / Ruptured discs) เกิดจากการที่หมอนรองกระดูกถูกบีบอัด หรือแตก
  4. ประสาทไขสันหลังบกพร่อง (Radiculopathy) เกิดจากรากประสาทไขสันหลังถูกบีบอัด อักเสบ หรือได้รับความเสียหาย ทำให้เกิดอาการปวดชา และเสียวกระจายไปยังส่วนต่างๆในร่างกาย
  5. ความผิดปกติของโครงกระดูก ได้แก่ กระดูกหลังคด (Scoliosis) ซึ่งจะไม่มีอาการจนกว่าจะถึงวัยกลางคน ส่วนกระดูกหลังแอ่น (Lordosis) เป็นอาการโค้งที่ผิดปกติของหลังส่วนล่าง และความผิดปกติของกระดูกสันหลังตั้งแต่กำเนิด

อาการที่ควรพบแพทย์ ปวดหลัง

อาการที่ควรพบแพทย์

อาการปวดหลังส่วนมากนั้นไม่ค่อยมีผลกระทบร้ายแรง แต่ถ้าหากมีอาการดังต่อไปนี้ ให้รีบเข้าพบแพทย์ในทันที

  1. ติดเชื้อ เพราะการติดเชื้อไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคปวดหลัง แต่สามารถทำให้เกิดอาการปวดหลังได้หากเกิดการติดเชื้อบริเวณกระดูกสันหลัง เรียกว่า โรคกระดูกอักเสบติดเชื้อ (Osteomyelitis) หรือการติดเชื้อบริเวณหมอนรองกระดูก เรียกว่า โรคหมอนรองกระดูกอักเสบติดเชื้อ (Discitis) รวมถึงการติดเชื้อบริเวณข้อต่อสะโพกไล่ลงไปตามแนวกระดูกสันหลังจนถึงกระดูกเชิงกราน เรียกว่า ข้อต่อกระดูกเชิงกรานอักเสบ (Sacroiliitis)
  2. เนื้องอก โดยจะเริ่มเกิดเนื้องอกขึ้นที่หลัง และส่วนใหญ่แล้วเนื้องอกที่เกิดขึ้นจะเป็นเซลล์มะเร็งที่แพร่มาจากส่วนอื่นๆของร่างกาย
  3. อาการรากประสาทเอวและกระเบนเหน็บหรือกลุ่มอาการรากประสาทหางม้า (Cauda equina syndrome) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ยาก เกิดจากหมอนรองกระดูกถูกกดลงไปในโพรงกระดูกสันหลัง รวมถึงรากประสาทบริเวณเอวและก้นกบถูกบีบ ทำให้ไม่สามารถควบคุมการปัสสาวะ และอุจจาระได้
  4. หลอดเลือดแดงส่วนท้องโป่งพอง (Abdominal aortic aneurysms) เกิดจากเส้นเลือดใหญ่ที่ทำการจ่ายเลือดมายังบริเวณท้อง เชิงกราน และขามีขนาดใหญ่กว่าปกติ ซึ่งมีความเสี่ยงที่เส้นเลือดอาจเกิดการแตกได้
  5. นิ่วในไต (Kidney stones) ซึ่งมันจะมีอาการปวดที่ข้างใดข้างหนึ่งของหลังส่วนล่าง

สาเหตุอื่นๆ

สาเหตุอื่นๆที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง ได้แก่

  1. โรคข้อต่ออักเสบ (Inflammatory diseases of the joints) เช่น ข้ออักเสบ (Arthritis) ได้แก่ โรคข้อเข่าเสื่อ (Osteoarthritis) และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatiod arthritis) รวมถึงการอักเสบที่กระดูกสันหลังที่สามารถส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังได้
  2. โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ทำให้ความหนาแน่น และความแข็งแรงของกระดูกลดลง อาจทำให้เกิดการปวดจากการแตกของกระดูกไขสันหลังได้
  3. โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญขึ้นผิดที่ (Endometriosis) คือการที่เนื้อเยื่อโพรงมดลูกถูกสร้างสะสมขึ้นมานอกมดลูก
  4. โรคปวดกล้ามเนื้อ (Fibromyalgia) จะมีอาการปวดและเมื่อยกล้ามเนื้อเรื้อรัง

ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคปวดหลังส่วนล่าง

ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคปวดหลังส่วนล่าง

1.อายุ

โรคปวดหลังส่วนล่างมักจะเริ่มเกิดขึ้นในช่วงอายุ 30 – 50 ปี และจะมีโอกาสเกิดมากขึ้นตามอายุ เพราะเมื่ออายุสูงขึ้น ความแข็งแรงของกระดูกและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อจะลดลง น้ำในหมอนรองกระดูกลดลง ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกสันหลังตีบ

2.ระดับการออกกำลังกาย

อาการปวดหลังอาจเกิดจากการออกกำลังในระดับที่ไม่เหมาะสมกับร่างกาย กล้ามเนื้อหลังและหน้าท้องที่ไม่แข็งแรงทำให้ไม่สามารถช่วยในการพยุงกระดูกสันหลังได้ ซึ่งผู้ที่ออกกำลังกายแบบ Weekend warriors คือ การออกกำลังกายมาก กว่า 1,000 กิโลแคลอรี่ในวันหยุดสุดสัปดาห์ 2 วันติดกัน มักจะได้รับการบาดเจ็บที่หลังมากกว่าผู้ที่ออกกำลังกายระดับปานกลางทุกวัน จากการศึกษาพบว่า การออกกำลังกายด้วยแอโรบิคที่ได้รับการกระแทกน้อยจะช่วยรักษาความสมบูรณ์ของหมอนรองกระดูกสันหลังได้

3.การตั้งครรภ์

เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของกระดูกเชิงกราน และน้ำหนักของร่างกาย ซึ่งมักจะมีอาการที่ดีขึ้นหลังการคลอด

4.การเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก

การที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน เป็นโรคอ้วน หรือมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สามารถทำให้เกิดความตึงเครียดที่หลัง และนำไปสู่อาการปวดหลังส่วนล่างได้

การตั้งครรภ์ ปวดหลัง

5.พันธุกรรม

เกิดขึ้นได้ในบางกรณี เช่น โรคกระดูกสันหลังอักเสบแบบยึดติด (Ankylosing spondylitis) ที่เกิดจากการอักเสบของข้อต่อกระดูกไขสันหลัง ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนของกระดูกสันหลัง อาจมีสาเหตุจากพันธุกรรมก็ได้

6.ความเสี่ยงจากการประกอบอาชีพ

อาชีพที่ต้องมีการยกของหนัก การดึง หรือดัน โดยเฉพาะเมื่อต้องมีการบิดหรือสั่นสะเทือนที่กระดูกสันหลัง สามารถทำให้เกิดอาการบาดเจ็บและอาการปวดหลังได้ ส่วนอาชีพที่ต้องนั่งอยู่กับโต๊ะเป็นเวลานาน ก็อาจทำให้เกิดอาการปวดหลังจากการนั่งหรือการมีท่าทางที่ไม่เหมาะสม หรือไม่รองรับกับแนวกระดูกสันหลัง

7.สุขภาพจิต

อาการปวดหลังอาจเกิดเพิ่มมากขึ้นจากอาการทางสุขภาพจิตที่เป็นอยู่ก่อนแล้ว เช่น ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า ซึ่งทำให้เกิดการมุ่งความสนใจไปยังอาการปวด รวมถึงการมีความเครียด จะสามารถส่งผลให้เกิดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อได้

8.การสะพายกระเป๋าที่มีน้ำหนักมาก

สามารถทำให้เกิดความเครียดที่หลังเนื่องจากความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ จากการศึกษาของสถาบันศัลยกรรมกระดูกและข้อของประเทศอเมริกา (The American Academy of Orthopedic Surgeons) แนะนำว่า การสะพายกระเป๋าควรจะมีน้ำหนักไม่มากเกิน 15 – 20% ของน้ำหนักตัว

ความเสี่ยงจากการประกอบอาชีพ ปวดหลัง

การวินิจฉัยโรคปวดหลังส่วนล่าง

การศึกษาประวัติทางการแพทย์ และการตรวจร่างกายสามารถระบุสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการปวดได้ โดยเริ่มแรกจะมีการสอบถามเกี่ยวกับอาการของการปวด เริ่มมีอาการเมื่อไหร่ เป็นมานานแค่ไหน และอื่นๆ เพื่อหาสาเหตุและการรักษาที่เหมาะสม โดยบางสาเหตุของการปวด เช่น เนื้องอก หรือโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบจะต้องมีการการตรวจแบบเฉพาะ ได้แก่

1.X-ray

มักจะเป็นการวินิจฉัยการถ่ายภาพในขั้นตอนแรก เพื่อตรวจหาการแตกของกระดูก หรือการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง โดยภาพที่ได้จากการ x-rays จะแสดงให้เห็นโครงกระดูก แนวกระดูกสันหลัง และเนื้อเยื่ออ่อน เช่น กล้ามเนื้อ เอ็น และหมอนรองกระดูก

2.ซีทีสแกน (Computerized tomography ; CT)

ใช้เพื่อตรวจดูโครงสร้างของไขสันหลังที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยเครื่อง x-rays เช่น หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท (Disc rupture) กระดูกสันหลังตีบ (Spinal stenosis) หรือเนื้องอก

การวินิจฉัยโรคปวดหลังส่วนล่าง

3.การตรวจระบบประสาทสันหลัง (Myelograms)

เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการวินิจฉัยการถ่ายภาพ x-rays และ ซีทีสแกน โดยจะทำการฉีดสารทึบรังสี (Contrast dye) เข้าในโพรงกระดูกสันหลัง ผ่านไขสันหลัง และเส้นประสาท เพราะโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท หรือการแตกหัก จะสามารถเห็นได้จากการทำ x-rays และ ซีทีสแกน

4.Discography

อาจใช้เมื่อขั้นตอนการวินิจฉัยแบบอื่นๆไม่สามารถระบุสาเหตุของการปวดได้ การวินิจฉัยจะทำโดยการฉีดสารทึบรังสีเข้าไปที่หมอนรองกระดูกสันหลังที่คิดว่าเป็นสาเหตุของการปวดหลังส่วนล่าง ความดันของน้ำในหมอนกรองกระดูกจะทำให้เกิดอาการปวดถ้าหากว่าเป็นส่วนของหมอนรองกระดูกที่เป็นสาเหตุ สีที่ฉีดเข้าไปจะช่วยแสดงส่วนที่เกิดความเสียหายจากการทำซีทีสแกน การทำ Discography อาจมีประโยชน์เมื่อทำการพิจารณาการผ่าตัดเอว หรือเมื่อการรักษาทั่วไปไม่ได้ผล

5.การตรวจวินิจฉัยโรคด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic resonance imaging ; MRI)

เป็นการใช้แรงแม่เหล็กแทนการฉายรังสีเพื่อสร้างภาพบนคอมพิวเตอร์ แสดงให้เห็นเฉพาะโครงสร้างของกระดูก นอกจากนี้การทำ MRI ยังสามารถให้เห็นภาพของเนื้อเยื่ออ่อน เช่น กล้ามเนื้อ เอ็นยึด เส้นเอ็น และหลอดเลือด โดยอาจจะต้องวินิจฉัยด้วยการทำ MRI เมื่อพบปัญหาเช่น การติดเชื้อ เนื้องอกการอักเสบ หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท หรือความดันในเส้นประสาท อย่างไรก็ตามหากยังเป็นเพียงอาการปวดหลังในระยะเริ่มต้น ก็ยังไม่จำเป็นที่จะต้องทำการวินิจฉัยด้วย MRI

วินิฉัยโรคด้วยคลื่นแม่เหล็ก ปวดหลัง

6.การวินิจฉัยด้วยคลื่นไฟฟ้า (Electrodiagnosis)

เป็นการวินิจฉัยเพื่อยืนยันการเกิดภาวะรากประสาทไขสันหลังส่วนเอวทำงานบกพร่อง (Lumbar radiculopathy) ขั้นตอนวินิจฉัยประกอบด้วย การวัดคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (Electromyography ; EMG) การประเมินการทำงานของเส้นประสาท (Nerve conduction studies ; NCS) และการทดสอบทางสรีระวิทยาไฟฟ้าของสมอง (Evoked potentials ; EP) โดยการทำ EMG จะเป็นการวัดการแสไฟฟ้าในกล้ามเนื้อ เพื่อนตรวจสอบความอ่อนแอของกล้ามเนื้อที่เกิดจากเส้นประสาทควบคุมกล้ามเนื้อด้วยการวัดปริมาณไฟฟ้าที่ส่งมาจากสมอง หรือไขสันหลังไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย การประเมิน NCS มักจะทำไปพร้อมกับการทำ EMG ด้วยการวางขั้วไฟฟ้า 2 ขั้วไว้บนผิวกล้ามเนื้อ ในชุดแรกจะเป็นการส่งกระแสไฟฟ้าอ่อนไปกระตุ้นเส้นประสาทที่ส่งมายังกล้ามเนื้อ และชุดที่สองจะทำการบันทึกสัญญาณกระแสไฟฟ้าเพื่อหาการทำงานที่ผิดปกติของประสาท การทดสอบ EP จะใช้ขั้วไฟฟ้า 2 ขั้วเช่นเดียวกัน โดยจะใช้ในการกระตุ้นประสาทรับความรู้สึก 1 ชุด และอีกชุดจะถูกวางไว้บนศีรษะเพื่อบันทึกความเร็วของการส่งสารสื่อประสาทไปยังสมอง

7.การสแกนกระดูก (Bone scans)

ใช้เพื่อตรวจหา และสังเกตการติดเชื้อ รอยร้าว หรือความผิดปกติของกระดูก ด้วยการฉีดสารกัมมันตรังสีเข้าไปในกระแสเลือดให้ไปสะสมที่กระดูกส่วนที่มีความผิดปกติ ภาพที่ได้จากการสแกนจะทำให้สามารถระบุพื้นที่ที่กระดูกมีการเผาพลาญผิดปกติ หรือมีการไหลเวียนเลือดผิดปกติ เป็นการวัดระดับความรุนแรงของโรคข้อต่อ

การสแกนกระดูก ปวดหลัง

8.อัลตร้าซาวด์ (Ultrasound imaging)

ด้วยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อทำให้เห็นภาพภายในร่างกาย โดยจะทำการบันทึกคลื่นเสียงและแสดงภาพออกมาในขณะเดียวกัน วิธีนี้จะทำให้เห็นการฉีกของเอ็น กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่ออ่อนในหลัง

9.การตรวจเลือด (Blood tests)

วิธีนี้จะไม่ค่อยได้ใช้ในการตรวจหาสาเหตุของการปวดหลัง แต่ในบางกรณีก็ต้องทำการตรวจเพื่อดูการอักเสบ กินติดเชื้อ หรือการเกิดโรคข้อต่ออักเสบ ผลที่จะได้จากการตรวจเลือด ได้แก่ จำนวนเม็ดเลือดที่มีความสมบูรณ์ อัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง และการตอบสนองของโปรตีน (C-reactive protein) การตรวจเลือดอาจทำให้พบสารพันธุกรรม HLA-B27 ที่พบมากในผู้ที่เป็นโรคกระดูกสันหลังอักเสบอชนิดยึดติด (Ankylosing spondylitis) หรือโรคข้ออักเสบรีแอคตีฟ (Reactive arthritis)

การรักษาโรคปวดหลัง

การรักษาโรคปวดหลัง

การรักษาโรคปวดหลังส่วนล่างทั่วไปนั้นขึ้นอยู่กับว่าเป็นการปวดแบบฉับพลันหรือเรื้อรัง โดยปกติแล้วการรักษาด้วยการผ่าตัดจะแนะนำให้ทำเฉพาะกับผู้ที่พบความเสียหายที่แย่ลงของเส้นประสาท

การรักษาตามระดับ ได้แก่

1.การประคบด้วยความร้อนหรือความเย็น

วิธีนี้ยังไม่เคยได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถรักษาอาการปวดหลังส่วนล่างได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและการอักเสบลงได้สำหรับผู้ที่ปวดหลังแบบฉับพลัน กึ่งฉับพลัน และการปวดแบบเรื้อรัง

2.กิจกรรม

ควรเริ่มด้วยการยืดเส้น และลดกิจกรรมที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด เพื่อให้กล้ามเนื้อที่หลังมีความยืดหยุ่น จากการศึกษาหนึ่งบอกว่า การนอนพักอย่างเดียวอาจทำให้อาการปวดหลังแย่ลง และนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น ซึมเศร้า มวลกล้ามเนื้อลดลง และเส้นเลือดที่ขาอุดตัน

3.สร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพที่จะช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูจากอาการปวดหลังส่วนล่างแบบเรื้อรัง หรือกึ่งฉับพลันได้รวดเร็วขึ้น ด้วยการรักษาและสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่มีความผิดปกติของโครงสร้างกระดูก มีผลในการช่วยปรับปรุงการวางท่าทางและจัดความสมดุลของกล้ามเนื้อได้ นอกจากนี้ยังมีข้อยืนยันว่าการเล่นโยคะสามารถช่วยลดอาการปวดหลังส่วนล่างแบบเรื้อรังได้

 สร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ปวดหลัง

4.กายภาพบำบัด

เป็นการสร้างความแข็งแรงของมัดกล้ามเนื้อที่รองรับบริเวณหลังส่วนล่าง ช่วยในการเคลื่อนไหว ยืดหยุ่น และ การวางท่าทางที่เหมาะสม มักจะเป็นวิธีที่ร่วมกับการรักษาแบบอื่น

5.ใช้ยา

มียาหลายชนิดที่สามารถใช้ในการรักษาอาการปวดหลังแบบฉับพลันและเรื้อรัง บางอย่างจะสามารถซื้อบริโภคได้เองโดยไม่ต้องรอใบสั่งยาจากแพทย์ แต่ก็อาจจะไม่ปลอดภัยหากอยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ หรืออาจเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อตับ เป็นแผลในทางเดินอาหาร หรืออื่นๆ จึงควรได้รับคำแนะนำจากผู้เชียวชาญก่อนบริโภค ประเภทสำหรับยาแก้ปวดหลังส่วนล่าง เช่น

  1. ยาแก้ปวด (Analgesic medications) เป็นยาที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการปวด มีทั้งตัวยาที่สามารถซื้อบริโภคได้เอง และตัวยาที่ต้องรอใบสั่งยาจากแพทย์ โดยตัวยาที่ต้องรอใบสั่งยาจากแพทย์จะมีสารมอร์ฟีนผสมอยู่ ควรบริโภคแค่ในระยะเวลาสั้นๆ และต้องได้รับการดูแลโดยแพทย์ เพราะอาจทำให้เกิดการเสพติด และเกิดผลข้างเคียง เช่น ง่วงนอน ท้องผูก ระยะเวลาในการตอบสนองที่ลดลง และภาวะซึมเศร้า เป็นต้น
  2. ยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใส่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal anti-inflammatory drugs ; NSAIDS) ใช้บรรเทาอาการปวดและการอักเสบ มีทั้งยาที่สามารถซื้อบริโภคเองได้ และที่ต้องรอใบสั่งยาจากแพทย์ การใช้ยากลุ่ม NSAIDS ในระยะยาว จะใช้กับอาการระคายเคืองกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารเป็นแผล กรดไหลย้อน ท้องเสีย ไตผิดปกติ โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น ซึ่งการใช้ในระยะยาวอาจส่งผลข้างเคียง และยาบางตัวจะไม่สามารถใช้ร่วมกับยาตัวอื่นได้
  3. ยารักษาโรคลมชัก (Anticonvulsants) อาจใช้เมื่อมีภาวะรากประสาทไขสันหลังทำงานบกพร่อง และอาการปวดร้าวไปตามแขน
  4. ยากล่อมประสาท (Antidepressants) เช่น ใช้สำหรับยับยั้งการปวดหลังส่วนล่างแบบเรื้อรัง
  5. ยาบรรเทาหรือระงับการระคายเคือง (Counterirrtant) มีทั้งแบบครีมและแบบสเปรย์ โดยตัวยาจะไปกระตุ้นเส้นประสาทในผิวให้เกิดความรู้สึกร้อนหรือเย็น เป็นการลดการอักเสบและกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
  6. การปรับโครงสร้างกล้ามเนื้อตามแนวกระดูกสันหลัง (Spinal manipulation) เป็นวิธีที่ต้องได้รับการรักษากับผู้เชี่ยวชาญ โดยผู้เชี่ยวชาญจะใช้มือในการจัด นวด หรือกระตุ้นไปที่กระดูกสันหลังและเนื้อเยื่อโดยรอบ ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากกับผู้ที่มีอาการปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง แต่วิธีนี้ไม่เหมาะสมกับผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุน เส้นประสาทไขสันหลังตีบและโรคข้อต่ออักเสบ
  7. การดึง ใช้น้ำหนักค่อยๆดึงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้กระดูกเข้าที่มากขึ้น ซึ่งจะสามารถบรรเทาอาการปวดได้ชั่วคราว
  8. การฝั่งเข็ม (Acupuncture) รักษาอาการปวดหลังส่วนล่างแบบเรื้องรัง โดยบางคนเชื่อว่าเข็มที่แทรกเข้าไปตามส่วนของร่างกายจะช่วยกระตุ้นร่างกายให้หลั่งสาร เช่น เอนโดรฟิน (Endorphins) แอซิติลโคลีน (Acetylcholine) และเซโรโทนิน (Serotonin) ออกมาลดอาการเจ็บปวด
  9. Biofeedback ใช้ในการรักษาการปวดแบบฉับพลันได้ โดยส่วนมากมักจะใช้รักษาอาการปวดหลังและปวดศีรษะด้วยการวางขั้วไฟฟ้าไว้ที่ผิวหนัง และปล่อยไฟฟ้าเข้าไปให้ผู้ถูกรักษารับรู้การทำงานของร่างกาย ลมหายใจ ความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ อัตราการเต้นของหัวใจ และการรับรู้อุณหภูมิ ทำให้สามารถการผ่อนคลายบริเวณที่ปวดได้ด้วยการรู้ตัวเอง การรักษาด้วย Biofeedback มักจะทำร่วมกับการรักษาแบบอื่น ซึ่งไม่มีผลข้างเคียง
  10. การระงับอาการปวดที่เส้นประสาท (Nerve block therapies) ใช้ในการรักษาอาการปวดแบบเรื้อรัง ทำได้ด้วยการฉีดยาชา (Anesthetics) โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum toxin ; Botox) หรือสเตียรอยด์ (Steroids) เข้าไปเฉพาะที่บริเวณเนื้อเยื่ออ่อน หรือข้อต่อเพื่อระงับบล็อกรากประสาทและกระตุ้นเส้นประสาทไขสันหลัง หากมีอาการปวดมาก อาจใช้ยาที่ออกฤทธิ์อ่อนสวนเข้าโดยตรงที่ไขสันหลัง
  11. การฉีดยาที่หลัง (Epidural steroid injection) เพื่อบรรเทาอาการปวดแบบระยะสั้นสำหรับอาการปวดหลังส่วนล่าง และอาการปวดสะโพกจากการอักเสบ อย่างไรก็ตามจากการศึกษาพบว่าผู้ที่ทำการฉีดยาสเตียรอยด์ในระยะเวลานานนั้นมีอาการที่แย่กว่าผู้ที่ไม่ได้ทำการฉีดยา
  12. การระงับอาการปวดด้วยกระแสไฟฟ้า (Transcutaneous electrical nerve stimulation ; TENS) ทำโดยการวางขั้วไฟฟ้าไว้บนผิวบริเวณที่มีการเจ็บปวด โดยไฟฟ้าจะเข้าไปกันสัญญาณที่ทำให้รู้สึกปวดจากเส้นประสาทส่วนปลาย ด้วยหลักการกระตุ้นระบบประสาทเพื่อปรับเปลี่ยนการรับรู้ความเจ็บปวด

กายภาพบำบัด ปวดหลัง

การผ่าตัด

เมื่อการรักษาด้วยวิธีต่างๆล้มเหลว การผ่าตัดอาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะใช้ในการลดอาการปวดของการบาดเจ็บจากการตึงเครียดของกล้ามเนื้อ หรือเกิดการกดทับที่เส้นประสาท ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือน รวมถึงอาจทำให้เกิดความสูญเสียการยืดหยุ่นไปอย่างถาวร และการผ่าตัดอาจจะไม่ประสบความสำเร็จเสมอไป ตัวเลือกสำหรับการผ่าตัด ได้แก่

1.การฉีดซีเมนต์เพื่อเสริมโครงกระดูกสันหลัง และการดันกระดูกสันหลังที่หักโก่งยุบตัว (Vertebroplasty & Kyphoplasty)

เป็นวิธีการรักษาเพื่อซ่อมแซมการกดของกระดูกสันหลังที่หักจากโรคกระดูกพรุน โดยการฉีดซีเมนต์เพื่อเสริมโครงกระดูกสันหลัง จะใช้การถ่ายภาพ 3 มิติเพื่อหาจุดที่จะทำการลงเข็มฉีดซีเมนต์บนกระดูกสันหลัง เป็นวิธีที่ทำใช้เวลาไม่นาน สามารถเพิ่มความแข็งแรงของกระดูกและบรรเทาอาการปวดลงได้ ส่วนวิธีดันกระดูกสันหลังที่หักโก่งยุบตัว จะมีการทำบอลลูนเพื่อยกกระดูกสันหลัง และลดความผิดปกติของกระดูกสันหลังก่อนที่จะทำการฉีดซีเมนต์

2.การผ่าตัดกระดูกสันหลังแบบลามิเนกโตมี (Spinal laminectomy)

ใช้รักษาเมื่อกระดูกสันหลังตีบ ทำให้เกิดการปวด ชา และอ่อนแรง ด้วยการนำผนังของกระดูกสันหลัง และหินปูนการกระดูกส่วนต่างๆออก เพื่อนเปิดกระดูกสันหลังให้เส้นประสาทมีความดันลดลง

ผ่าตัด ปวดหลัง

3.การเอาหมอนรองกระดูกที่กดทับเส้นประสาทออก หรือการผ่าตัดหมอนรองกระดูกด้วยกล้องขยาย (Discectomy or Microdiscectomy)

การทำ Microdiscectomy จะคล้ายกับการทำ Discectomy ซึ่งขั้นตอนการเอาหมอนรองกระดูกที่กดทับเส้นประสาทออกจะมีเพียงแผลขนาดเล็กที่หลัง และใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน

4.การผ่าตัดขยายช่องเส้นประสาท (Foraminotomy)

การปูดของกระดูกสันหลัง หรือข้อต่อที่หนาเป็นส่วนที่ทำให้ช่องว่างในกระดูกสันหลังแคบลง ทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาทไขสันหลัง ทำให้เกิดอาการปวด ชา และอ่อนแรงที่แขนหรือขา

5.Intradiscal electrothermal therapy (IDET)

เป็นการรักษาหมอนรองกระดูกที่แตกหรือปูดจากการเสื่อมของหมอนรองกระดูก โดยการสวนสายขนาดเล็กเข้าไปยังหมอนรองกระดูก และทำการสอดลวดแบบพิเศษลงไปในสายเพื่อนทำการปล่อยกระแสไฟฟ้าให้ความร้อนที่หมอนรองกระดูก เพื่อเป็นการเสริมสร้างใยคอลลาเจนที่ผนังหมอนรองกระดูก ส่งผลช่วยลดการปูดและการระคายเคืองที่เส้นประสาทไขสันหลัง

เสริมโครงกระดูกสันหลัง ปวดหลัง

6.การทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังหดตัวลงโดยไม่ต้องเปิดแผลผ่าตัด (Nucleoplasty)

เป็นประเภทของการผ่าตัดด้วยเลเซอร์ที่ใช้พลังงานจากคลื่นวิทยุเพื่อรักษาอาการปวดหลังส่วนล่างจากหมอนรองกระดูเคลื่อนทับเส้นประสาท โดยจะมีการทำ x-ray เพื่อหาจุดของหมอนรองกระดูกที่จะทำการยิงเลเซอร์ ซึ่งจะยิงเซเวอร์ด้วยอุณหภูมิ 40 – 70 °C ลงบนเนื้อเยื้อหมอนรองกระดูก เพื่อลดขนาดและลดความดันของเส้นประสาท

7.การผ่าตัดด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency denervation)

ด้วยการใช้กระแสไฟฟ้าเข้าไปขัดขวางการนำกระแสประสาท เริ่มจากการ x-ray บริเวณเส้นประสาทเพื่อหาจุดที่ทำฉีดยาชา และให้ความร้อนเพื่อทำลายเส้นประสาทที่เป็นเป้าหมาย ส่งผลบรรเทาอาการเจ็บปวดแบบชั่วคราว

8.การเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง (Spinal fusion)

ช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกสันหลัง และป้องกันไม่ให้เกิดความเจ็บปวดสำหรับผู้ที่หมอนรองกระดูกเสื่อมหรือกระดูกสันหลังเคลื่อน เริ่มจากการนำข้อกระดูกสันหลังบางชิ้นออก แล้วทำการเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง 2 ส่วนที่เหลือเข้าด้วยกันโดยการปลูกถ่ายหรือใช้โลหะในการค้ำยัน การเชื่อมข้อกระดูกสันหลังสามารถทำได้ทั้งผ่านช่องท้องด้านหน้าและผ่านหลัง การเชื่อมข้อต่อกระดูกสันหลังอาจทำให้เสียความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลัง รวมถึงใช้เวลาในการพักฟื้นและรอการเชื่อมต่อของกระดูกนาน

9.การผ่าตัดเปลี่ยนหมอนรองกระดูกสันหลังเทียม (Artificial disc replacement)

วิธีนี้ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการเชื่อมข้อกระดูกสันหลังเพื่อรักษาความเสียหายที่หมอนรองกระดูก มีผลช่วยเรื่องความสูงและการเคลื่อนไหวระหว่างกระดูกสันหลัง

การป้องกันอาการปวดหลัง

การป้องกันอาการปวดหลัง

อาการปวดหลังเกิดจากกลไกของร่างกาย ซึ่งมักจะป้องกันได้ด้วยการหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่กระเทือนหรือเกิดความเครียดที่หลัง ปรับปรุงทางท่าต่างๆให้ถูกต้อง และยกของอย่างถูกวิธี การเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกหลักสรีระวิทยาก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สามารถช่วยป้องกันความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาการปวดหลังจากการทำกิจกรรมต่างๆได้ รวมถึงการสวมแถบคาดยางยืดสำหรับรองรับช่วงเอวและกล้ามเนื้อหน้าท้องก็สามารถป้องกันอาการปวดหลังได้ แต่ควรระมัดระวังการใช้งานของกล้ามเนื้อหลังที่น้อยลงจากการสวมแถบยางยืด ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอ และปวดหลังได้ง่ายยิ่งขึ้น

ข้อแนะนำในการดูแลหลังให้แข็งแรง

การเดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือการปั่นจักรยาน 30 นาทีในทุกๆวันสามารถช่วยให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงและความยืดหยุ่นมากขึ้น ส่วนการเล่นโยคะก็สามารถช่วยในการยืดและสร้างความแข็งแรงของกล้าเนื้อได้เช่นกัน รวมถึงสามารถปรับปรุงลักษณะของการวางท่าทางต่างๆได้ โดยการออกกำลังกายจะต้องมีความเหมาะสมกับแต่ละบุคคลที่มีการตั้งเป้าหมายในการสร้างความแข็งแรงให้หลังส่วนล่าง และกล้ามเนื้อหน้าท้อง

  1. ยืดกล้ามเนื้อก่อนออกกำลังกาย หรือก่อนทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงทุกครั้ง
  2. อย่าค่อมหลัง เพราะหลังส่วนล่างจะรับน้ำหนักได้ดีกว่าเมื่อยืน หรือนั่งให้น้ำหนักมีความสมดุล
  3. ทำงานบนโต๊ะที่มีความสะดวกสบายกับสรีระร่างกาย
  4. นั่งเก้าอี้ที่รองรับช่วงเอว และมีความสูงที่เหมาะสม โดยอาจนำหมอนหรือผ้าขนหนูมาหนุนช่วงเอวด้านหลัง รวมถึงให้ลุกขึ้นเดินหรือยืดเหยียดบ้างเพื่อลดความตึงเครียดของกล้าเนื้อ
  5. แต่งกายด้วยชุดที่เคลื่อนไหวได้สะดวก เลือกสวมรองเท้าส้นเตี้ย
  6. การนอนตะแคงข้างด้วยท่าขดตัวเหมือนทารกในครรภ์ สามารถทำให้ข้อต่อกระดูกสันหลังเปิด ช่วยลดความดัน และช่วยลดการโค้งงอขอกระดูกสันหลัง
  7. ไม่ต้องฝืนยกของที่หนักเกินไป โดยการยกของนั้นให้ย่อเข่าลง ดึงกล้ามเนื้อหน้าท้องและก้มศีรษะลงให้อยู่แนวเดียวกับหลัง เมื่อยกขึ้นพยายามให้วัตถุอยู่ใกล้ตัว ไม่บิดตัวขณะยก
  8. รับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการเพื่อรักษาน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป โดยเฉพาะการรักษากล้ามเนื้อรอบเอว ซึ่งการบริโภคแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินดีในปริมาณที่เพียงพอต่อวัน จะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของกระดูก
  9. เลิกสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่จะลดการไหลเวียนของเลือดที่ส่งไปยังกระดูกสันหลัง ส่งผลให้หมอนรองกระดูกเสื่อม นอกจากนี้ยังทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน ขัดขวางการรักษาโรค และการไอจากการสูบบุหรี่อาจทำให้เกิดอาการปวดหลังได้
Facebook Comments

ทิ้งข้อความไว้