แค่เรื่องสิวๆ เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ส่งผลให้เป็นปัญหาที่ใหญ่

แค่เรื่องสิวๆ-เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ-ส่งผลให้เป็นปัญหาที่ใหญ่---feat

สิวเป็นเรื่องที่รักษาได้ และต้องรีบรักษาให้เร็วที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็น เพราะกว่าที่สิวจะหายไปได้แต่ละทีอาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือน และอาจจะต้องใช้เวลาบำรุงรักษาอีกเป็นปีๆ

สิวคืออะไร

สิวเป็นสาเหตุของการเกิดรอยดำที่มักจะเกิดขึ้นบนใบหน้า แต่ก็ไม่ทั้งหมด เพราะสิวอาจจะเกิดขึ้นกับส่วนอื่นๆในร่างกาย เช่น หลัง คอ และอกได้ ส่วนใหญ่แล้วคนเราจะเผชิญกับปัญหาเรื่องสิวในช่วงอายุ 12 – 25 ปี แต่บางคนก็อาจจะมีปัญหาเรื่องสิวตั้งแต่ก่อนอายุ 12 ปี หรือมีปัญกาต่อเนื่องไปหลังอายุ 25 ปีก็ได้ โดยที่ร่างกายจะเริ่มมีการพัฒนาของสิวประมาณอายุ 8 – 10 ปี ซึ่งปัญหาเรื่องสิวเป็นเรื่องที่เพศชายสามารถพบได้มากกว่าเพศหญิง

เรื่องของผิวหนังกับการเกิดสิว

ใต้ผิวหนังของคนเราจะมีต่อมไขมันเล็กๆที่ผลิตน้ำมันออกมาให้ผิวมีความนุ่มและชุ่มชื้น น้ำมันที่ผลิตจะถูกขับออกมาทางรูขุมขน ซึ่งในช่วงวัยรุ่นจะเป็นช่วงที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาปริมาณมาก ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายที่ไปกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้ผิวมีความมันสูงและเป็นที่มาของการเกิดสิว

สิวคืออะไร

ประเภทของสิว

สิวหัวดำ สิวหัวขาว และผด

เมื่อรูขุมขนอุดตัน ส่งผลให้ผิวหนังด้านบนมีความหนาขึ้น เซลล์หนังที่ตายแล้วจะกลับเข้าไปอุดที่รูขุนขน โดยจะสามารถสังเกตสิวหัวดำ และหัวสีขาวได้จากด้านบนของรูขุมขน ส่วนผดนั้นเกิดจากการสะสมไขมันใต้รูขุมขนที่อุดตัน จะเห็นได้จากจุดเล็กๆที่เกิดขึ้น

สิวหัวช้าง และสิวอักเสบ

บริเวณที่มีการรวมตัวกันของไขมันเป็นที่อยู่ของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว เรียกว่า Propionibacterium acnes (P. Acenes) ซึ่งเมื่อมีการสะสมในปริมาณมากจะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำการตอบสนองด้วยการอักเสบ และหากการอักเสบมีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆจะทำให้เกิดการแดง ขนาดใหญ่ขึ้น และมีหนอง ในบางกรณีตุ่มหนองอาจมีขนาดใหญ่ขึ้นและเกิดการเกาะตัวเป็นก้อนหรือถุงเล็กๆ และในบางกรณีเมื่อหายจากการเป็นสิวอักเสบแล้ว จะพบรอยของสิวอยู่เป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งจะเห็นได้ชัดในคนที่มีผิวเข้ม นอกจากนี้ยังมักจะเกิดหลุมแผลเป็นตรงที่มีการเกิดสิวอักเสบด้วย

ประเภทของสิว

สาเหตุของการเกิดสิว (ที่พบได้ยาก)

โรคบางอย่างที่เกิดขึ้นในเพศหญิงอาจเป็นสาเหตุของการเกิดสิว เช่น ภาวะถุงรังไข่หลายใบ (Polycystic overy symdrome ; PCOS) ซึ่งรังไข่เป็นส่วนที่มีการผลิตฮอร์โมนเพศชาย และนอกจากการเกิดสิวแล้วยังสามารถทำให้เกิดอาการอื่นๆตามมา เช่น เส้นผมบาง มีขนขึ้นเยอะบนใบหน้าหรือตามตัว เป็นต้น อีกทั้งการที่ได้สารเคมีบางอย่างก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดสิว

สิ่งที่ทำให้ปัญหาเรื่องสิวแย่ลง

  1. ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนตัวเดียว (Progestogen-only pill)
  2. การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเมื่อมีประจำเดือนของเพศหญิง
  3. การแต่งหน้าที่หนา หรือใบหน้าที่มันเยิ้ม โดยสามารถเลือกใช้เครื่องสำอางที่ไม่อุดตันรูขุมขน และปราศจากน้ำมัน
  4. การกด หรือบีบสิว อาจทำให้เกิดการอักเสบและรอยแผลเป็น
  5. เหงื่อ หรือความชื้น อาจทำให้เกิดการอุดตันของรูปขุมขน
  6. เครื่องแต่งกายที่รัด เช่น ที่คาดหัว ชุดชั้นใน ปลอกคอ ฯลฯ อาจทำให้เกิดการสระสมของเหงื่อ และการเสียดสีที่ผิวหนัง
  7. ยาบางชนิด เช่น Phenytoin (ใช้สำหรับผู้ที่เป็นลมชัก) และครีมที่ผสมสารสเตียรอยด์ เป็นต้น ซึ่งถ้ามีการใช้ยาอยู่ อย่าเพิ่งหยุดใช้ยาที่กำลังใช้ แต่ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อหาทางเลือกอื่นที่อาจจะดีกว่า
  8. ยาอนุพันธ์ของฮอร์โมนเพศชาย (Anabolic steroids)
  9. หลายคนคิดว่าการบริโภคน้ำตาลและนมในปริมาณมากจะเป็นสาเหตุของการเกิดสิว แต่อย่างไรก็ตามการวิจัยนี้ยังไม่มีผลที่สามารถรับรองได้

สิ่งที่ทำให้ปัญหาเรื่องสิวแย่ลง

แก้ไขความเชื่อผิดๆเรื่องสิว

  1. สิวไม่ได้เกิดจากสุขอนามัยที่ไม่ดี เพราะในความเป็นจริงแล้วการล้างหน้าบ่อยครั้งเกินไปก็อาจทำให้ปัญหาเรื่องสิวแย่ลง
  2. ความเครียดไม่ใช่สาเหตุของการเกิดสิว
  3. สิวไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อบนผิวหนังเท่านั้น แต่ยังมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ไขมัน การเจริญเติบโตมากเกินไปของแบคทีเรียไม่เป็นอันตราย การอักเสบ ฯลฯ และสิวไม่ได้ติดต่อผ่านการสัมผัส
  4. สิวไม่สามารถรักษาได้ด้วยการดื่มน้ำในปริมาณมาก
  5. มีข้อพิสูจน์ออกมาว่า การอาบแดดช่วยขจัดสิวได้
  6. บางคนเชื่อว่าไม่สามารถรักษาสิวได้ด้วยการกินยาได้ แต่จริงๆแล้วมันสามารถช่วยได้มากถ้าหากว่ามีการใช้อย่างถูกวิธี

แก้ไขความเชื่อผิดๆเรื่องสิว

การดูแลผิวในผู้ที่เป็นสิว

  1. ไม่ต้องล้างหน้าบ่อยกว่าปกติ ให้ล้างเพียง 2 ครั้งต่อวัน โดยใช้สบู่ที่ไม่มีฤทธิ์ในการกัดกร่อนและน้ำอุ่นในการล้างหน้า รวมถึงห้ามสครับเมื่อมีการเกิดสิว
  2. การเช็ดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคอาจช่วยได้
  3. สิวหัวดำเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีผิว ไม่สามารถเอาออกได้ด้วยการทำความสะอาดหรือการขัดได้
  4. การรักษาสิวบางวิธีอาจทำให้ผิวแห้ง โดยถ้าเกิดอาการผิวแห้ง ให้ใช้ครีมหรือผลิตภัณฑ์บำรุงแบบน้ำ (Water-based) ที่ให้ความชุ่มชื้น และอย่าใช้ขี้ผึ้งหรือครีมที่ผสมน้ำมันมาก เพราะอาจทำให้รูขุมขนอุดตันได้

จุดมุ่งหมายในการรักษาสิว

จุดมุ่งหมายของการรักษา คือ การการขจัดสิวออกให้ได้มากที่สุด และป้องกันการเกิดแผลเป็น โดยสิวแต่ละประเภทก็มีวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน แพทย์หรือเภสัชกรจะทำการแนะนำและรักษาตามความรุนแรงและประเภทของสิว ซึ่งอาจจะไม่จำเป็นต้องรับการรักษาถ้าไม่ได้เกิดการอักเสบของสิว หากเป็นเพียงสิวหัวดำ สิวหัวขาว หรือผดมักจะใช้เวลาในการรักษาไม่นานโดยที่ไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ แต่หากมีการพัฒนาเป็นสิวอักเสบ เช่น แดง หรือมีหนอง ก็ควรที่จะทำการรักษาให้เร็วที่สุดเพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็น

 การดูแลผิวในผู้ที่เป็นสิว

การเตรียมตัวในการรักษาสิว

เจล โลชั่น และครีมที่ใช้ในการรักษาสิวจะมีการทำงานที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งควรศึกษาวิธีการใช้ และข้อควรระวังในการใช้ เพื่อที่จะได้ใช้ในการรักษาให้ถูกจุด

Benzoyl peroxide

เป็นยาที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป มักใช้ในการรักษาสิวเฉพาะจุด ช่วยได้ดีในการกำจัดสิวอักเสบ สิวหัวดำ และสิวหัวขาว โดยจะให้ผล 3 อย่าง ได้แก่ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบของสิว และลดการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งแบ่งระดับความเข้มข้นออกเป็น 2.5% 4% 5% และ 10% มีข้อแนะนำในการใช้ยา ดังนี้

  1. ตัวยาจะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อได้ทำความสะอาดผิวประมาณ 20 – 30 นาทีก่อนใช้
  2. ตัวยาอาจกัดสีผม ผ้าปูเตียง หรือเสื้อผ้าได้
  3. อาจมีความรู้สึกระคายเคืองที่ผิว แต่ถ้าหากมากเกินไปควรหยุดใช้ และอาจลองใช้ตัวที่มีค่าความเข้มข้นที่น้อยลง หรือลองวิธีที่จะป้องกันการระคายเคืองของผิวตามขั้นตอน
  • เลือกใช้ตัวยาที่มีความเข้มข้น 2.5% และค่อยๆเพิ่มความเข้มข้นขึ้นหากต้องการ
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบบน้ำ (Water-based) แทนแบบแอลกอฮอล์
  • ใช้วันละ 1 ครั้งต่อวัน และล้างออกเมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง
  • ค่อยๆเพิ่มระยะเวลาของการเว้นระยะก่อนล้างออก
  • เพิ่มการใช้เป็นวันละ 2 ครั้ง

Benzoyl peroxide สิว

Retinoids

เป็นยาที่ให้ผลดีในด้านลดการอุดตันของรูขุมขน และยังสามารถลดการอักเสบของสิว รวมถึงรักษาสิวหัวดำ และสิวหัวขาวได้ แต่ Retinoids เป็นยาที่จะใช้ได้เมื่อได้รับใบสั่งยาจากแพทย์เท่านั้น โดยอาจมีผลข้างเคียงจากการใช้ ได้แก่

  1. อาจเกิดอาการผิวแดง หรือผิวลอก
  2. ปัญหาสิวอาจเริ่มมีอาการแย่ลงก่อนที่จะค่อยๆดีขึ้น
  3. ผิวอาจจะมีความรู้สึกไวต่อแสงแดด จึงควรที่จะใช้ในเวลากลางคืน และล้างออกในตอนเช้า รวมถึงครีมกันแดดสามารถช่วยได้เมื่อต้องทำกิจกรรมออกแดด
  4. ผลกระทบที่มากที่สุด คือ จะรู้สึกร้อน ระคายเคือง และผิวแห้ง โดยสามารถเริ่มจากการใช้ตัวที่มีความเข้มข้นต่ำ ใช้น้อยครั้ง และทิ้งตัวยาไว้ในระยะเวลาสั้นๆก่อน

Topical antibiotics

เป็นยาปฏิชีวนะที่ต้องได้รับใบสั่งยาจากแพทย์ก่อนใช้ โดยมักจะมีการใช้ร่วมกับยาตัวอื่น สามารถช่วยลดการสะสมของแบคทีเรีย และการอักเสบของสิว แต่ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนได้เพียงเล็กน้อย ทำให้ยังหลงเหลือสิวหัวดำและหัวขาวอยู่ ซึ่งอาจทำให้เกิดความระคายเคืองเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามก็ยังเป็นยาที่ให้ผลข้างเคียงน้อยกว่ายาอื่นๆ

Topical antibiotics สิว

Azelaic acid

ส่งผลหลักในการช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน สามารถขจัดสิวหัวดำและหัวขาวได้ดี อีกทั้งยังช่วยลดการอักเสบของสิวได้ มีการระคายเคืองน้อยกว่าตัวยา Antibiotics และ Benzoyl peroxide แต่ก็มีประสิทธิภาพที่น้อยกว่าเช่นกัน

การใช้แบบผสม

เช่น ใช้ Benzoyl peroxide + Antibiotic หรือ Retinoid + Antibiotic ซึ่งอาจช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น

การใช้แบบผสม สิว

ระยะเวลาที่ใช้ในการรักษา

โดยปกติแล้วจะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้หลังจากมีการรักษาเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ขึ้นไป และจะได้ผลที่ดีเมื่อมีการรักษาถึงสัปดาห์ที่ 6 อย่างไรก็ตาม อาจจะต้องใช้เวลาถึง 4 เดือนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และเพื่อไม่ให้กลับมาเป็นสิวอีก ซึ่งหากมีการใช้ไป 6 สัปดาห์แล้วยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้ลองใช้ยาตัวอื่นร่วม หรือเพิ่มความเข้มข้นของตัวยาเข้าไป

จะกลับมาเป็นสิวอีกหรือไม่

เมื่อมีการกำจัดสิวออกไปแล้ว เป็นเรื่องปกติที่สิวอาจจะกลับมาอีกครั้งเมื่อมีการหยุดรักษา จึงควรมีการรักษาต่อไปเรื่อยๆเพื่อป้องกันการเกิดสิวขึ้นมาอีก โดยตัวยาที่ใช้ในการป้องกันการเกิดสิวจะใช้ความเข้มข้นน้อยกว่าตอนรักษา เหมือนเป็นการเตรียมรับมือกับสิวที่อาจจะกลับมา

จำเป็นที่ต้องรักษาสิวที่โรงพยาบาลหรือไม่

ถ้าหากเป็นสิวที่มีความรุนแรง และไม่มีการตอบสนองต่อการรักษา ก็เป็นเวลาที่ควรจะต้องเข้าพบแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อหาวิธีการรักษาสิวที่เหมาะสม รวมถึงการรักษารอยแผลเป็นที่มีหลายวิธีการให้เลือก เช่น การเลเซอร์ผิว การลอกผิวหรือผลัดเซลล์ผิว (Mechanical or Chemical peeling) การทำลายเนื้อเยื่อของแผลเป็น หรือการฉีดคอลลาเจน

Facebook Comments

ทิ้งข้อความไว้