เรียนรู้อาการ และวิธีในการจัดการกับความเจ็บปวดของร่างกาย

เรียนรู้อาการ-และวิธีในการจัดการกับความเจ็บปวดของร่างกาย---feat

ความปวดคือความจริงที่ผู้หญิงหลายคนต้องเผชิญจากรอบเดือนสักช่วงหนึ่งของชีวิตรวมถึงการคลอดลูกด้วย นอกจากนั้นความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ยังน่าทรมานอีกด้วย เพื่อรับมือกับความปวดนั้นผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะหาทางแก้มากกว่าผู้ชาย เช่น การหาข้อมูล หาแรงสนับสนุน และหาทางผ่อนคลายเพื่อปลดปล่อยความเครียด

ยังไงผู้หญิงก็ยังต้องทนเจ็บครั้งต่อไปอีกอยู่ดีแต่มีโอกาสน้อยที่หมอจะให้ยาแก้ปวด จากงานวิจัยพบว่าผู้ชายไม่ค่อยบอกหมอว่าปวดเพราะรู้สึกว่าต้องทนให้ได้ แต่นั่นไม่ได้หมายถึงว่าความปวดที่ผู้หญิงบอกไปไม่เป็นจริง

 ความเจ็บปวดของร่างกาย

ความปวดแบบเรื้อรัง

ผู้หญิงมีโอกาสที่จะปวดแบบเรื้อรังมากกว่าผู้ชาย การปวดแบบเรื้อรังในที่นี้หมายถึงความปวดมากกว่า 3 เดือนขึ้นไปที่อาจยาวไปเป็นปีหรือ 10 ปี บางครั้งความปวดเกิดจากการได้รับการบาดเจ็บหรือโรคในอวัยวะหรือร่างกาย และจะไปขัดขวางการใช้ชีวิตโดย

  • ยากที่จะทำงาน
  • ทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดและเครียด
  • ทำให้ยากที่จะหลับ
  • ทำให้ไม่สนใจอาหารหรือเพศสัมพันธุ์
  • ทำให้ไม่อยากทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายที่อาจทำให้ปวดมากกว่าเดิม
  • ใช้ยาแก้ปวดหรือแอลกอฮอล์เป็นทางแก้การปวดเรื้อรัง
  • ค่ารักษาที่มากขึ้นเรื่อยๆ

ความเจ็บปวดเรื้อรังแตกต่างจากความเจ็บปวดแบบฉับพลันหรือความเจ็บปวดที่มีไม่ถึง3เดือน ความเจ็บแบบฉับพลัน เช่น แผลอักเสบ การติดเชื้อ หรือการบาดเจ็บทั่วไป

 ความปวดแบบเรื้อรัง

การวินิจฉัยโรค

ขั้นแรกของการรักษาความเจ็บคือการวินิจฉัยโดยการตอบคำถามหมอ เช่น

  • เริ่มเจ็บตั้งแต่เมื่อไหร่
  • เจ็บหรือปวดตรงไหน
  • รู้สึกเจ็บแบบไหน
  • อะไรทำให้เจ็บมากขึ้นหรือน้อยลง
  • ความเจ็บมีผลกระทบต่อกิจวัตรประจำวันแค่ไหน
  • ยาที่เคยใช้หรือทาน
  • ผลข้างเคียงจากยา

หรือหมออาจถามคำถามอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อดูว่าคนไข้เครียดรึเปล่า ความเครียดเกิดขึ้นได้กับผู้ป่วยที่เจ็บปวดเรื้อรัง สำหรับบางคนที่เครียดมากๆความเจ็บปวดอาจมาจากหรือมีส่วนจากความเครียด เช่น ปวดหัวบ่อยๆ ปวดหลัง หรือปวดท้อง ทางเดียวที่จะทำให้หมอรู้และหาวิธีรักษาได้คือผู้ป่วยต้องตอบคำถามหมอตามความจริงเท่านั้น

 การวินิจฉัยโรคค

วิธีจัดการกับความเจ็บ

สามารถรักษาได้จาก

  • ยา
  • กายภาพบำบัด
  • การรักษาทางด้านจิตใจและพฤติกรรม
  • ศัลยกรรม
  • การรักษาไม่ได้รักษาจากเพียงหมอคนเดียวแต่จะเป็นการรวมกลุ่มของหมอ นักจิตวิทยา นักกายภาพบำบัด และแพทย์ทางเลือก เช่น แพทย์ฝังเข็ม เพื่อวางแผนการรักษา

เพราะคนไข้ทุกคนแตกต่างกัน บางการรักษาจึงใช้ได้กับแค่บางคน ทีมหมอจึงอาจให้คุรลองการรักษาหลายๆแบบเพื่อดูว่าวิธีไหนได้ผล

 วิธีจัดการกับความเจ็บ

ยา

ยาแก้ปวดจะเข้าไปกดประสาทเพื่อบรรเทาความเจ็บแต่ไม่ได้แก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เพราะถ้ายาหมดฤทธิ์ก็จะกลับมาปวดเหมือนเดิม

ยาลดอาการอักเสบหรือยาแก้ปวด (NSAIDs)

ยาลดอาการอักเสบนี้ช่วยลดความปวด ลดไข้ และลดอาการอักเสบ เช่น aspirin, ibuprofen และnaproxen ถ้าใช้นานๆทีจะรู้สึกว่าไม่มีผลข้างเคียง แต่ถ้าใช้ไปนานๆจะรู้สึกระคายเคืองท้องและลำไส้ บางตัวอาจทำให้เกิดโรคตับหรือไตได้ นอกจากนั้นยาลดอาการอักเสบชนิดอื่นอาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะหัวใจวายและโรคสมองขาดเลือด อีกด้วย

กลุ่มยาแก้ปวด Acetaminophen

กลุ่มยาแก้ปวดAcetaminophen เช่น พาราเซตามอล ได้ผลพอๆกับยาลดอาหารอักเสบNSAIDsแต่ไม่ลดอาการอักเสบ มีโอกาสน้อยที่ยาAcetaminophenจะเข้าไปป่วนท้องเมื่อเทียบกับยาNSAIDs แต่ถ้าทานในปริมาณมากเกินไปมันอาจทำลายตับได้โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ดื่มแอลกอฮอล์มาก

โอปิออยด์ (Opioids)

โอปิออยด์เป็นสารเสพติดที่มีความสามารถในการลดอาการปวดสูง โดยมีส่วนประกอบของมอร์ฟีน เมทาโดน และออกซิโคโดน ผลข้างเคียงของโอปิออยด์คือ

  • วิงเวียนศีรษะ
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • ซบเซา

ถ้าทานยาประเภทโอปิออยด์มากกว่า 1 หรือ 2 สัปดาห์(หรือแค่ไม่กี่วันสำหรับบางคน) แล้วไม่ทานต่ออาจเกิดอาการท้องเสีย มีความกังวล และร่างกายสั่นได้

ถ้าใช้ยาอย่างถูกต้องโอกาสการติดยาก็จะลดลง แต่หมอและคนไข้หลายคนที่กังวลมากไม่ทานยาในปริมาณที่ควรได้รับ ก็ต้องทนกับการปวดต่อไปแบบไม่สิ้นสุด

ยากล่อมประสาทและยาต้านการชัก

ยาบางชนิดที่ใช้รักษาภาวะซึมเศร้าสามารถรักษาอาการปวดได้ เช่น ปวดหัวไมเกรนหรือปวดหัวจากความเครียด เพราะส่วนหนึ่งของสมองที่เกี่ยวข้องกับความปวดก็เชื่อมกับความซึมเศร้า

 ยา

การรักษาอาการปวดด้วยวิธีอื่น

นักบำบัดอาจแนะนำการรักษาที่ไม่ต้องใช้ยาหรือใช้ร่วมกับยา และมีแนวโน้มว่าร่างกายของผู้หญิงจะตอบสนองดีกว่าผู้ชาย

การรักษาอาการปวดด้วยวิธีอื่น

กายภาพบำบัด

ผู้ป่วยกับอาการปวดเรื้อรังขยับน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะคิดว่ากิจกรรมทางร่างกายจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่ที่จริงแล้วการอยู่เฉยๆจะทำให้เจ็บหนักขึ้น ถ้าคุณกำลังมีปัญหากับอาการปวดเรื้อรัง นักกายภาพบำบัดจะช่วยหากิจกรรมที่ไม่รุนแรงและเหมาะสม ถึงแม้จะเจ็บขณะทำก็ควรทำต่อไปเรื่อยๆเพราะความเจ็บจากการขยับไม่ได้ทำให้ร่างกายแย่ลง

ประเภทของกายภาพบำบัดที่อาจช่วยรักษาอาการบาดเจ็บ ได้แก่

  • การรักษาด้วยความร้อน – แช่น้ำอุ่น แผ่นประคบร้อน คลื่นเสียงความถี่สูงที่ส่งความร้อนไปยังเนื้อเยื่อ
  • การรักษาด้วยความเย็น – แผ่นความเย็น แช่น้ำเย็น นวดด้วยน้ำแข็ง
  • การยืดกล้ามเนื้อแบบเบา
  • กิจกรรมเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
  • นวด โดยกดเฉพาะจุดบนร่างกาย
  • การรักษาด้วยการสั่นสะเทือน

กายภาพบำบัด

การรักษาโดยการกระตุ้นเส้นประสาท

การรักษาโดยการกระตุ้นประสาท เช่น การฝังเข็ม จะเข้าไปแทรกแซงการส่งสัญญาณความเจ็บไปยังสมองและยังทำให้ร่างกายปล่อยสารเอนโดรฟีนเพื่อบรรเทาความเจ็บ

การรักษาด้านพฤติกรรมและจิตใจ

การรักษานี้จะช่วยผ่อนคลายหรือเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมที่บางครั้งอาจช่วยบรรเทาอาการปวดได้ เช่น

  • การบำบัดโดยทฤษฎี ช่วยควบคุมร่างกายให้อยู่เหนือความเจ็บปวดโดยการสอนให้จำและเปลี่ยนอารมณ์ที่ทำให้เจ็บหนักขึ้น เช่น ความกังวล ความโกรธ และความเศร้า
  • การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ จะช่วยลดความตึงและบรรเทาอาการเจ็บได้
  • การหายใจลึกๆ ช่วยผ่อนคลาย
  • การจินตนาการ จินตนาการว่ามีความสุขช่วยให้หยุดคิดถึงความเจ็บได้
  • Biofeedback คืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่บอกความตึงของกล้ามเนื้อ อุณหภูมิผิวหนัง และส่วนอื่นๆของร่างกาย เพื่อจะได้รู้วิธีบรรเทาอาการอย่างถูกจุด

ความเจ็บสามารถทำให้ภาวะซึมเศร้าแย่ลงและเจ็บมากขึ้น ดังนั้นถ้าลดความกังวลได้ก็จะลดความเจ็บได้เช่นกัน

 การรักษาโดยการกระตุ้นประสาท

อาการปวดอื่นๆ

ปวดหัว

อาการ

  • รู้สึกเจ็บรอบๆศีรษะ
  • กล้ามเนื้อตึงบริเวณหลังและคอ
  • มักจะเกิดเวลาเครียด
  • มักเกิดพร้อมกับอาการซึมเศร้า

วิธีรักษา

  • ผ่อนคลาย – พักจากการทำทุกอย่างและนอนบนเตียง
  • Biofeedback
  • ยาแก้ปวด (NSAIDs)
  • ยากล่อมประสาท
  • ควบคุมความเครียด

ปวดหัวไมเกรน

อาการ

  • ปวดแบบสั่นๆเริ่มจากข้างใดข้างหนึ่งของศีรษะและจะกระจายไปยังจุดอื่น
  • แสง เสียง และกิจกรรมทางร่างกายจะทำให้ปวดหัวมากขึ้น
  • วิงเวียนและอยากอาเจียน
  • มีสัญญาณเตือนหรือออร่าประมาณ1ชั่วโมงก่อนจะปวดหัวไมเกรน
  • รู้สึกอ่อนล้าที่แขนหรือขา มีปัญหาการทรงตัว หรือการพูด

วิธีรักษา

  • หลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นไมเกรน
  • ยาtriptansช่วยหยุดไมเกรนถ้าทานในช่วงที่เริ่มเป็น (คำเตือน: ควรทานอย่างระมัดระวังเพราะอาจหัวใจวายและเสียชีวิตได้ในเด็กผู้หญิง)
  • ยาแก้วิงเวียนและอาเจียน
  • Biofeedback หรือการฝึกการผ่อนคลาย

ข้อต่อขากรรไกร

อาการ

  • เจ็บเวลาเคี้ยวหรือที่ข้อต่อกรรไกรที่เชื่อมกรามด้านล่างกับกระดูกอีกข้างของศีรษะ
  • มีเสียงคลิกเวลาอ้าปากหรือปิดปาก
  • ขยับกรามได้ไม่มาก
  • เจ็บที่หน้าหรือคอ

วิธีรักษา

  • ทานอาหารอ่อน
  • นวดกล้ามเนื้อที่ปวด
  • ประคบด้วยความเย็นหรือความร้อนที่หน้า
  • รู้จักผ่อนคลาย
  • ทานยาแก้ปวด (NSAIDs) หรือยาคลายกล้ามเนื้อ
  • ลดความเครียด

กลุ่มอาการเจ็บปวดเฉพาะที่แบบซับซ้อน

อาการ

  • ปวดหลังจากได้รับการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อ เส้นประสาท หรือเนื้อเยื่ออื่นๆ
  • ปวดมากขึ้นแม้ว่าแผลจากการบาดเจ็บจะหายไปแล้ว
  • ความปวดกระจายไปที่อื่น อาจรวมถึงทั้งแขน ขา มือ และเท้า
  • บริเวณอื่นๆที่ได้รับผลกระทบอาจเปลี่ยนสี มีเหงื่อ หรือบวม

การรักษา

  • กายภาพบำบัด
  • จิตบำบัด
  • ยา เช่น ยากล่อมประสาท โอปิออยด์ หรือยาแก้ปวด
  • หยุดยาอื่นที่มีส่วนกระตุ้นประสาทให้รู้สึกเจ็บมากขึ้น

อาการปวดอื่นๆ

กลุ่มอาการความล้าเรื้อรัง

อาการ

  • ยังรู้สึกเมื่อยล้าแม้ว่าจะพักไปแล้ว
  • มีอาการเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ เช่น ปวดหัว เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ และมีไข้

การรักษา

  • ยาแก้ปวดNSAID สำหรับไข้หวัด ปวดหัว และปวดตัว
  • ยารักษาอาการซึมเศร้าเพื่อการหลับและอารมณ์ที่ดีขึ้น
  • ออกกำลังกาย
  • การปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม

กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง

อาการ

  • ปวดทั่วทั้งตัว
  • รู้สึกปวดบริเวณจุดอ่อนอย่างน้อย 11 จุด เช่น ท้ายทอย หลังส่วนล่าง ข้อพับแขน และหัวเข่า
  • อาการที่อาจเป็นอื่นๆ เช่น เมื่อยล้า มีปัญหาการนอน หรือข้อฝืดแข็งตอนเช้า

การรักษา

  • ยาพรีกาบาลิน (Pregabalin) หรือยากันชักอื่นๆ
  • นอนให้นานขึ้นและดีขึ้นด้วยการเปลี่ยนเวลานอนและเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนหรือใช้ยาช่วยให้นอนหลับ
  • ออกกำลังกายที่ไม่หนักมาก เช่น เดิน หรือว่ายน้ำ
  • ลดความเครียด
  • นวด

มีอาการปวดเล็กน้อย

ถ้าคุณรู้สึกปวดเล็กน้อย เช่น ข้อเท้าแพลง สามารถรักษาได้โดย 4 ขั้นตอนง่ายๆ

  • พัก – การลดหรือหยุดใช้ส่วนที่ปวดสัก 48 ชั่วโมงจะช่วยลดอาการปวด
  • น้ำแข็ง – ประกบน้ำแข็งลงบนบริเวณที่ปวดสัก 10 นาทีแล้วเอาออก 10 นาที ทำแบบนี้อย่างน้อย1ชั่วโมงและทำอีกเรื่อยๆจนกว่าจะหายดี
  • กด – กดหรือบีบเบาๆบริเวณที่ปวด อย่าบีบหรือรัดแน่นจนเกินไปเพราะอาจทำให้เลือดไหลผ่านไม่สะดวก
  • ยก – ยกบริเวณที่ปวดขึ้นเหนือระดับหัวใจเพื่อลดอาการบวม หรือใช้หมอนประคองแขนหรือขาที่เจ็บ

แต่ถ้าลอง 4 ขั้นตอนนี้แล้วยังไม่หายปวดควรไปหาหมอ

Facebook Comments

ทิ้งข้อความไว้