Site icon สังคมเพื่อสุขภาพของคนไทย – Somanao

สัญญาณเตือน และการรักษามะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

สัญญาณเตือน-และการรักษามะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก----feat

มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เป็นมะเร็งที่เกิดขึ้นที่อวัยวะสืบพันธ์เพศหญิงที่พบมากที่สุด โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ประเภทที่ 1 จะพบได้มาก มีการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งอย่างช้าๆ มักพบแค่เฉพาะที่ด้านในมดลูก ส่วนประเภทที่ 2 เป็นประเภทที่เกิดขึ้นได้น้อย แต่จะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มที่จะกระจายออกไปยังส่วนอื่นของร่างกาย

มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกเกิดขึ้นได้อย่างไร

มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกมักจะเกิดขึ้นเมื่อเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเกินไป ซึ่งทำให้มดลูกมีความหนาเพิ่มมากขึ้น และในบริเวณที่มีความหนาอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดเนื้อเยื่อที่เรียกว่าเนื้องอก (Tumor) ขึ้นมา นอกจากนี้เซลล์มะเร็งยังสามารถแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกายได้อีกด้วย

ระยะก่อนมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกแบบแรกเริ่ม (Endometrial intraepithelial neoplasia ; EIN)

ระยะก่อนมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกแบบแรกเริ่ม คือ ภาวะที่อาจนำไปสู่การเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกประเภทที่ 1 ซึ่งอยู่ในขั้นของการเจริญเติบโตของเยื่อบุผนังมดลูกที่หนาขึ้น และเปลี่ยนไปคล้ายกับเซลล์มะเร็ง รวมถึงการที่มีเลือดออกจากมดลูกอย่างผิดปกติ เป็นสัญญาณเตือนถึงระยะก่อนมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกแบบแรกเริ่ม โดยหากตรวจพบและได้ทำการรักษาในระยะนี้ ก็จะสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งได้

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

1.อายุ

โดยส่วนมากจะมีการตรวจพบมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน

2.ระดับฮอร์โมน

ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ในผู้หญิงเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก โดยหากมีการหลั่งฮอร์โมนเอสโตรเจนออกมา แต่ไม่มีการหลั่งฮอร์โมนโปรเจนเตอโรนออกมามากเพียงพอ ก็จะสามารถทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกก่อตัวหนาขึ้น อาจส่งผลให้รอบเดือนมาไม่ปกติในช่วงก่อนหมดประจำเดือน และช่วงหมดประจำเดือน รวมถึงยังอาจทำให้พบความผิดปกติทางการแพทย์อื่นๆ เช่น ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (Polycystic ovary syndrome ; PCOS) ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในผู้หญิงที่มีมดลูก และมีการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนเพื่อรักษาอาการวัยหมดประจำเดือน

3.ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน

เมื่อทำการคำนวณค่าดัชนีมวลกาย (Body mass index ; BMI) แล้วมีค่าตั้งแต่ 25 ขึ้นไป จะจัดอยู่ในกลุ่มของผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และยิ่งมีค่า BMI มากขึ้นเท่าไหร่ ก็เท่ากับว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งมากขึ้นเท่านั้น

4.พันธุกรรม

โรคถ่ายทอดทางพันธุกรรม (Lynch syndrome) สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ โรคมะเร็งรังไข่ โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และโรคมะเร็งประเภทอื่นๆ เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลง หรือกลายพันธุ์ของสารพันธุกรรมที่ส่งต่อลงมาจากรุ่นสู่รุ่น

อาการของโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

ผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีอาการของโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกตั้งแต่ในระยะแรกๆ โดยมักจะมีอาการเลือดออกจากมดลูกอย่างผิดปกติ ซึ่งสำหรับผู้หญิงที่ก่อนหมดประจำเดือนจะพบว่ามีความผิดปกติของรอบเดือน มีเลือดไหล หรือเป็นจุดๆระหว่างรอบเดือน ส่วนผู้หญิงที่อยู่ในช่วงวัยหมดประจำเดือนจะมีเลือดออกอย่างผิดปกติ นอกจากนี้ยังมีอาการของโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกที่มีความรุนแรง ได้แก่ เจ็บกระดูกเชิงกราน ท้องอืด อิ่มง่าย และมีการเปลี่ยนแปลงนิสัยการขับถ่าย

การวินิจฉัยโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

ในปัจจุบันยังไม่เคยมีการตรวจพบโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกในผู้หญิงที่ไม่มีอาการ ดังนั้นถ้าคุณอยู่ในวัยหมดประจำเดือนและพบการมีเลือดออกที่ผิดปกติก็เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องเข้ารับการตรวจ โดยอันดับแรกอาจทำการตรวจคลื่นความถี่สูงทางช่องคลอด (Transvaginal ultrasound) เพื่อเป็นการตรวจวัดความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูก และขนาดของมดลูก และถ้าผลออกมาว่าเยื่อบุโพรงมดลูกมีความหนามากกว่า 4 มิลลิเมตร ก็ต้องทำการตรวจในขั้นอื่นต่อไป

วิธีพื้นฐานที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคเยื่อบุโพรงมดลูก คือ การตรวจชิ้นเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrial biopsy) เป็นการนำชิ้นเนื้อตัวอย่างของเยื่อบุโพรงมดลูกออกมาตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Microscope) หรือการส่องตรวจโพรงมดลูก (Hysteroscopy)

แต่ถ้าคุณอยู่ในวัยก่อนหมดประจำเดือน แพทย์จะทำการพิจารณาอาการ อายุ และปัจจัยทางการแพทย์อื่นๆเพื่อตัดสินใจว่าจำเป็นต้องทำการตรวจชิ้นเนื้อหรือไม่ ซึ่งการตรวจด้วยคลื่นความถี่สูงไม่สามารถใช้ตรวจหามะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้กับผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือน

การรักษาโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกมักจะใช้การรักษาด้วยการผ่าตัด โดยระหว่างการผ่าตัดจะมีการนำมดลูก ปากมดลูก รังไข่และท่อนำไข่ทั้ง 2 ด้านออก นอกจากนี้ยังอาจต้องนำต่อมน้ำเหลืองและเนื้อเยื่ออื่นๆออกมาด้วย แล้วทำการตรวจหา นำส่วนที่เป็นมะเร็งออก และหลังการผ่าตัดจะเป็นช่วงที่รอดูความแน่นอนของการเกิดโรค เป็นช่วงที่แพทย์จะทำการตัดสินใจว่าต้องทำการรักษาใดๆเพิ่มเติมหรือไม่ เช่น การทำเคมีบำบัด (Chemotherapy) หรือการฉายรังสี (Radiation therapy) ซึ่งระยะของมะเร็งจะแบ่งออกเป็นระยะที่ 1 ถึงระยะที่ 5 ที่เป็นระยะที่มีความรุนแรงมากที่สุด และระยะต่างๆของมะเร็งจะมีผลต่อการรักษาและผลที่จะได้รับ

การใช้ฮอร์โมนบำบัดในการรักษาโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

การรักษาด้วยฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) เป็นทางเลือกสำหรับผู้หญิงที่ยังต้องการจะมีลูกอยู่ หรือสำหรับผู้หญิงที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ด้วยเหตุผลทางการแพทย์อื่นๆ ทางเลือกนี้จะแนะนำให้ผู้ที่มีเงื่อนไขดังต่อไปนี้เท่านั้น

สำหรับผู้หญิงบางคน อาจทำการนำรังไข่ออกมาในขณะที่ทำการผ่าตัดเพื่อทำเด็กหลอดแก้ว (In vitro fertilization ; IVF) แต่ทางเลือกแต่ละอย่างอาจจะไม่ได้เหมาะสมกับทุกคน ดังนั้นจึงควรทำการปรึกษากับผู้ดูแลสุขภาพก่อน

ผลที่ตามมาหลังการรักษา

หลังจากการรักษาโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก คุณควรที่จะเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อให้มั่นใจว่ามีสุขภาพที่ดี อย่างไรก็ตาม จาก 90% หลังการผ่าตัดของผู้ที่เป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกในระยะที่ 1 ยังไม่เคยพบสัญญาณที่บ่งบอกว่าเป็นโรคมะเร็งอีกในระยะ 5 ปีหรือมากกว่านั้น และหลังการรักษาโรคแล้วยังต้องมีการดูแลสุขภาพให้ดี เพราะจากการศึกษาพบว่าผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเยื่อบุผนังมดลูกประเภทที่ 1 จะมีความเสี่ยงมากขึ้นต่อการเกิดโรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน ซึ่งการควบคุมการบริโภคอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้

คำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง

Facebook Comments