Site icon สังคมเพื่อสุขภาพของคนไทย – Somanao

วิธีการรักษาสิวให้หายอย่างรวดเร็วด้วยวิธีการทางธรรมชาติ

วิธีการรักษาสิวให้หายอย่างรวดเร็วด้วยวิธีการทางธรรมชาติ-feat

ถ้าคุณกำลังรู้สึกแย่กับการเป็นสิว ให้คุณรู้ไว้ว่า ไม่ใช่คุณคนเดียวที่เป็น สิวเป็นภาวะหนึ่งของผิวที่เกิดจากการอุดตันของน้ำมัน และเซลล์ผิวที่ตายแล้วในรูขุมขน ส่วนใหญ่แล้วสิวสามารถเกิดขึ้นได้บนใบหน้า หน้าอก หลัง หัวไหล่ และคอ สาเหตุของสิวนั้นมีหลายอย่าง เช่น พันธุกรรม ฮอร์โมน และการผลิตไขมันของต่อมไขมันบนผิว แต่คุณก็สามารถรักษาสิวให้หายได้อย่างเป็นธรรมชาติรวดเร็วด้วยวิธีต่าง ๆ หลากหลายวิธี เพียงเรียนรู้วิธีการดูแลผิวที่ดี ปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร และลองหันมาใช้ยาสมุนไพรบ้าง

การดูแลผิวที่ดี

1.สังเกตลักษณะของสิว

การรักษาจะขึ้นอยู่กับสภาพของสิวที่เกิดขึ้น โดยส่วนมากแล้วความรุนแรงของสิวจะอยู่ในระดับปานกลาง แต่ในบางกรณีที่รุนแรงอาจเป็นก้อนลึกลงไป ซึ่งจะทำให้เกิดการบวมและรอยแผลเป็นได้ ชนิดของสิวโดยทั่วไป ได้แก่

2.เลิกสูบบุหรี่

การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสิว ซึ่งร่างกายไม่ตอบสนองต่อการอักเสบของสิว ทำให้ไม่มีการรักษาอย่างรวดเร็ว ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีโอกาสที่จะเป็นสิวที่มีความรุนแรงระดับปานกลางมากกว่าช่วงวัยรุ่นถึง 4 เท่า โดยเฉพาะกับผู้หญิงอายุ 25 – 50 ปี นอกจากนี้ควันบุหรี่ยังอาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวได้อีกด้วย

เป็นที่รู้กันว่าการสูบบุหรี่จะทำให้ผิวเกิดริ้วรอยและดูแก่ไว เพราะสารต้านอนุมูลอิสระจะเข้าไปลดการผลิตคอลลาเจน และลดโปรตีนในผิวหนังลง

3.หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า

สิ่งสกปรกและแบคทีเรียที่มือสามารถทำให้เกิดการอุตันของรูขุมชนเพิ่มขึ้นได้ เป็นสาเหตุให้การเกิดสิวแย่ลงได้ โดยหากคุณรู้สึกระคายเคืองผิว ให้ใช้กระดาษเช็ดหน้าที่ไม่มีน้ำมัน (Oil-free daily facial wipe) เช็ดเบา ๆ เพื่อล้างสิ่งสกปรกออกจากผิว และที่สำคัญคือ ห้ามบีบสิว เพราะจะทำให้แบคทีเรียเกิดการแพร่กระจายได้

4.เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่มีส่วนผสมของสบู่ (Non-soap Cleanser) และปราศจากโซเดียมซัลเฟต (Sodium laureth sulfate) ที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิว โดย non-soap cleanser ส่วนมากจะหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ปราศจากสารเคมีที่รุนแรง และใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ เพราะการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีสารเคมีรุนแรง อาจทำให้ผิวระคายเคือง และเกิดความรุนแรงของสิวเพิ่มขึ้นได้

5.การล้างหน้า

ให้คุณล้างหน้าเพียงครั้งเดียวในตอนเช้า และอีกครั้งในตอนกลางคืน อย่าลืมว่าให้ใช้น้ำอุ่นในการล้างหน้า และให้ล้างหน้าเพียง 2 ครั้งต่อวัน หลังจากที่มีเหงื่อออก โดยเหงื่ออาจทำให้เกิดการระคายเคือง จึงควรล้างหน้าให้ไวที่สุดเมื่อมีเหงื่อออก

6.ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

หากมีผิวแห้งหรือรู้สึกคันผิว ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นที่ปราศจากน้ำมัน (Oil-free Moisturizer) ส่วนยาสมาน (Astringent) ให้ใช้กับผู้ที่มีผิวมัน ซึ่งมักจะใช้บริเวณที่มีจุดด่างดำ และถ้าคุณต้องการที่จะใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อผลัดเซลล์ผิว ให้คุณปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อหาวิธีการรักษาที่ดีที่สุดกับลักษณะของผิว

คนที่ไม่ได้เป็นสิวอักเสบ สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวตามร้านขายยาทั่วไปได้ แต่หามีผิวแห้ง ควรจะผลัดเซลล์ผิวเพียง 1 หรือ 2 ครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้น ขณะที่คนที่มีผิวมันสามารถที่จะผลัดเซลล์ผิวได้วันละ 1 ครั้ง

ปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร

1.บริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ

หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่มีฮอร์โมนหรือสารที่คล้ายกัน เพราะจะทำให้ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล และเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ให้บริโภคอาหารประเภทผัก และผลไม้ อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน A, C, E และสังกะสี (Zinc) ที่จะช่วยต้านการอักเสบของสิว อาหารที่พบสารอาหารต่าง ๆ เหล่านี้ เช่น

2.บริโภคแร่ธาตุสังกะสี

จากการศึกษาพบว่า การบริโภคแร่ธาตุสังกะสีสามารถช่วยรักษาสิวได้ เพราะสังกะสีเป็นแร่ธาตุสำคัญที่มีคุณสมติในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์ร่างกายจากความเสียหายที่เกิดจากแบคทีเรียและไวรัส เป็นปกติที่ร่างกายจะมีแรธาตุสังกะสีน้อย แต่การบริโภคอาหารและวิตามินจะช่วยให้แร่ธาตุสังกะสีที่ร่างกายต้องการ แหล่งอาหาร ได้แก่

3.บริโภควิตามิน A

วิตามิน A เป็นสารต้านการอักเสบ ช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมน และช่วยลดการผลิตไขมันของผิว โดยคุณสามารถเพิ่มวิตามิน A ให้ร่างกายได้ด้วยการบริโภคอาหารสุขภาพ และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันไม่ดี เช่น มาการีน และอาหารแปรรูป วิตามิน A พบได้มากในแครอท ผักใบเขียว ผลไม้สีเหลืองหรือสีส้ม

4.บริโภควิตามิน C

วิตามิน C มีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจน และโปรตีนที่ใช้ในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อผิว กระดูกอ่อน หลอดเลือด และช่วยในการรักษาบาดแผล แหล่งอาหารธรรมชาติที่อุดมไปด้วยวิตามินซี เช่น

5.ดื่มชาเขียว

การดื่มชาเขียวไม่ใช่วิธีป้องกันการเกิดสิวโดยตรง แต่ชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยป้องกันริ้วรอยและช่วยปกป้องผิว ทำให้ผิวดูเนียนนุ่มและอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ชาเขียวยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง และผลวิจัยบางชิ้นยังชี้ให้เห็นว่าชาเขียวสามารถป้องกันผิวจากรังสียูวีที่เป็นอันตรายได้อีกด้วย

ใช้ยาสมุนไพร

1.ที ทรี ออยล์ (Tea tree oil)

Tea tree oil มักเมื่อเกิดสิว บาดแผล และการอักเสบ เพื่อการรักษาสิวให้ใช้ tea tree oil ที่มีความเจือจาง 5 – 15 เปอร์เซ็นต์ หยด 2 – 3 หยดลงบนลำสี แล้วทาลงบนสิว

Tea tree oil ห้ามรับประทาน หรือใช้ในช่องปากเป็นอันขาด และควรหลีกเลี่ยงการเปิดทิ้งไว้ให้สัมผัสกับอากาศเป็นเวลานาน เพราะออกซิไดซ์อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้

2.โจ โจบา ออยล์ (Jojoba oil)

หยด Jojoba oil ลงบนสำลีและตบเบา ๆ ลงบนสิว ซึ่ง Jojoba oil เป็นสารสกัดที่คล้ายกับน้ำมันตามธรรมชาติบนผิว แต่จะไม่ทำให้เกิดการอุดตัน หรือความมันส่วนเกิน

Jojoba oil จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง แต่หากคุณมีผิวที่บอบบาง คุณก็ควรที่จะปรึกษากับแพทย์ผิวหนังก่อนที่จะใช้

3.น้ำมันหอมระเหยจูนิเปอร์ (Juniper oil)

Jumiper oil เป็นยาฆ่าเชื้อโรคตามธรรมชาติ คุณสามารถใช้ทำความสะอาดใบหน้า หรือใช้เป็นโทนเนอร์ (Toner) เพื่อขจัดสิ่งอุดตัดรูขุมขน การรักษาผิว โรคผิวหนัง และรักษากลาก แต่อย่าใช้ในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้

4.เจลว่านหางจระเข้

เจลว่านหางจระเข้สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป โดยว่านหางจระเข้เป็นพืชที่ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย สามารถรักษาสิว และช่วยลดการอักเสบได้ แต่บางคนอาจแพ้ว่านหางจระเข้ ซึ่งหากเกิดผื่นให้หยุดใช้ และเข้าพบแพทย์ในทันที

5.เกลือทะเล

ลองใช้โลชั่นจากเกลือทะเลที่มีโซเดียมคลอไรด์น้อยกว่า 1% 6 ครั้งต่อวัน โดยแต่ละครั้งให้ทาทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที โดยจากการศึกษา เกลือทะเลอาจช่วยต้านการอักเสบ ต้านริ้วรอย และช่วยป้องกันอันตรายจากรังสี UV ได้

สำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง หรือผิวแพ้ง่าย ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ เพราะเกลือทะเลอาจทำให้ผิวแห้ง และเกิดการระคายเคืองได้

เข้าพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

1.ฉายแสงบำบัด

การทำเลเซอร์ และการบำบัดด้วยแสง (Phototherapy) เป็นวิธีการรักษาสิวที่ได้รับความนิยม การฉายแสงเป็นวิธีที่ใช้ในการรักษาสิวอักเสบ แผลเป็นจากสิวอักเสบ และสิวซีสต์

2.ฮอร์โมนบำบัด

การมีฮอร์โมนเพศชาย (Androgen) สูงในเพศหญิง อาจนำไปสู่การผลิตไขมันที่มากเกิน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว นอกจากนี้ยังมีกรดไขมันที่สนับสนุนแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว  รวมถึงอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนช่วงวัยรุ่น การตั้งครรภ์ การขาดประจำเดือน หรือการบริโภคยาบางชนิด วิธีการที่ดีที่สุดที่จะทราบได้ว่าสิวนั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหรือไม่ คือการเข้าพบแพทย์ผิดหนังเพื่อพูดคุยและตรวจสอบ

3.เข้าพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ

แพทย์ผิวหนังสามารถวินิจฉัยสภาพผิวและกำหนดเป้าหมายในการรักษาสิวให้คุณได้ โดยทางเลือกสำหรับการผ่าตัดอาจใช้ได้กับสิวหัวปิด สิวหัวเปิด หรือสิวซีสต์ โดยจะทำการฉีดสเตียรอยด์ (Steroids) เข้าสู่สิวเพื่อทำการแช่แข็ง

การลบรอบหลุดสิวด้วยศัลยกรรม (Dermabrasion) เป็นวิธีการผ่าตัดเพื่อลอกเอาผิวของแผลเป็นออก และลดความลึกของแผลเป็นด้วยการขจัดชั้นเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ซึ่งขั้นตอนจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแผลเป็นจากสิวที่เกิดขึ้น

Facebook Comments